ตำนานลอยกระทง 6 ความเชื่อลอยกระทงวันเพ็ญเดือนสิบสอง
ตำนานลอยกระทง 6 ความเชื่อลอยกระทงวันเพ็ญเดือนสิบสอง
ตำนานลอยกระทง 6 ความเชื่อลอยกระทงวันเพ็ญเดือนสิบสอง ทั้งตำนานเรื่องกาเผือก การเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท การต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก การบูชาพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ การบูชาพระอุปคุตต์ และเพื่อบูชาพระจุฬามณี
อีกไม่กี่วันก็ใกล้จะถึงวันสำคัญอีกวันหนึ่งของคนไทย ซึ่งก็คือ วันลอยกระทง นั่นเอง สำหรับวันลอยกระทงนั้นเป็นวันที่คนไทยจะร่วมกันลอยกระทงเพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำในการดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ลงในแม่น้ำ วันลอยกระทงของทุกปีจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย สำหรับปีนี้ วันลอยกระทงจะตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน 2557
การลอยกระทงในเมืองไทยนั้น มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ในสมัยก่อนนั้นพิธีลอยกระทงจะเป็นการลอยโคม ต่อมานางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วงได้คิดค้นประดิษฐ์กระทงดอกบัวขึ้นเป็นคนแรกแทนการลอยโคม เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯ ทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง และให้จัดประเพณีลอยกระทงขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยให้ใช้กระทงดอกบัวแทนโคมลอย หลังจากนั้นจึงมีการสืบต่อประเพณีการลอยกระทงจนมาถึงปัจจุบัน
วันนี้ก็ขอหยิบยกนำเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องเล่าตำนานวันลอยกระทง มาฝากกันด้วยค่ะ ถ้าอยากรู้ว่าในแต่ละตำนานเล่าถึงวันลอยกระทงกันว่าอย่างไร ตามไปดูกันเลย
ภาพจาก GOLFX / Shutterstock.com
1. ตำนานลอยกระทงจากนิทานชาวบ้าน เรื่องกาเผือก
เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์มีกาเผือกสองตัวผัวเมียทำรังอยู่บนต้นไม้ในป่าหิมพานต์ใกล้ฝั่งแม่น้ำ วันหนึ่งกาตัวผู้ออกไปหากินแล้วหลงทางกลับรังไม่ได้ ปล่อยให้นางกาตัวเมียซึ่งกกไข่อยู่ 5 ฟอง รอด้วยความกระวนกระวายใจ จู่ ๆ มีพายุใหญ่พัดมาโดนรังกระจัดกระจายจนไข่ทั้ง 5 ฟองตกลงน้ำ ด้านแม่กาถูกลมพัดไปอีกทางหนึ่ง แต่เมื่อย้อนกลับมาไม่เห็นฟองไข่ จึงร้องไห้จนขาดใจตายไปเกิดเป็นท้าวพกาพรหมอยู่ในพรหมโลก ด้านฟองไข่ทั้ง 5 นั้น ลอยน้ำไปคนละทิศคนละทาง ต่อมาแม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โค และแม่ราชสีห์ ได้มาพบเข้า จึงนำไปรักษาไว้ตัวละ 1 ฟอง ครั้งถึงกำหนดฟักกลับกลายเป็นมนุษย์ทั้งหมด ไม่มีฟองไหนเกิดมาเป็นลูกกาเลย โดยกุมารทั้ง 5 มีนามว่า กกุสันโธ (วงศ์ไก่), โกนาคมโน (วงศ์นาค), กัสสโป (วงศ์เต่า), โคตโม (วงศ์โค) และเมตเตยโย (วงศ์ราชสีห์) ต่อมากุมารทั้ง 5 ต่างเห็นโทษภัยในการเป็นฆราวาสและเห็นอานิสงส์ในการบรรพชา จึงขอลาไปบวชเป็นฤาษีและทั้ง 5 คน ได้มีโอกาสพบปะกันและถามถึงนามวงศ์และมารดาของกันและกันจึงทราบว่าเป็นพี่น้องกัน
จากนั้นทั้งหมดได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าต่อไปจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขอให้ร้อนไปถึงมารดา และด้วยแรงอธิษฐานของทั้ง 5 ท้าวพกาพรหมจึงเสด็จมาจากเทวโลกจำแลงองค์เป็นกาเผือก แล้วเล่าเรื่องราวให้ฟังพร้อมบอกว่าถ้าคิดถึงมารดาเมื่อถึงเพ็ญเดือน 11 เดือน 12 ให้เอาด้ายดิบผูกไม้ตีนกาปักธูปเทียนบูชาลอยกระทงในแม่น้ำ เพื่อแสดงความคิดถึง ตั้งแต่นั้นมาจึงมีการลอยกระทงเพื่อบูชาท้าวพกาพรหมแล้วเพื่อบูชารอยพระบาท ซึ่งประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที ส่วนฤาษีทั้ง 5 ต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้
- ฤาษีองค์แรก กกุสันโธ (พระกกุสันโธ)
- ฤาษีองค์ที่สอง โกนาคมโน (พระโกนาคมน์)
- ฤาษีองค์ที่สาม กัสสโป (พระกัสสปะ)
- ฤาษีองค์ที่สี่ โคตโม (พระสมณโคดม)
- ฤาษีองค์ที่ห้า เมตเตยโย (พระศรีอาริยเมตไตรย)
ตามตำนานดังกล่าว ได้มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์แรก มาบังเกิดบนโลกมนุษย์แล้วในอดีตกาล พระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 คือ พระพุทธเจ้าที่จะมาบังเกิดบนโลกในอนาคต ได้แก่ พระศรีอาริยเมตไตรย
2. ตำนานลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท
รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ที่ไปปรากฏอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ คือ ครั้งหนึ่งพญานาคได้ทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ เมื่อพระองค์เตรียมเสด็จกลับ พญานาคจึงได้ทูลขออนุสาวรีย์ไว้สำหรับกราบไหว้บูชา พระพุทธองค์จึงทรงประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้ที่หาดทราย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที เพื่อให้บรรดานาคทั้งหลายได้ลอยกระทงเพื่อสักการบูชา
ภาพจาก 501room / Shutterstock.com
3. ตำนานลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก
เป็นตำนานที่เล่ากันว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ได้เสด็จออกบวชจนได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วได้เสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาธรรมโปรดพระพุทธมารดา จากนั้นพระองค์ได้เสด็จกลับลงสู่โลกมนุษย์ ในการเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ครั้งนี้ เหล่าทวยเทพและประชาชนทั้งหลาย ได้พร้อมใจกันทำการสักการบูชาด้วยทิพย์บุปผามาลัย การลอยกระทงตามตำนานนี้ จึงเป็นการรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากดาวดึงส์พิภพ
4. ตำนานลอยกระทงเพื่อบูชาพระนารายณ์บรรทมสินธุ์
พิธีการลอยกระทงตามคติพราหมณ์ ซึ่งกระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า คือ พระนารายณ์ที่บรรทมสินธุ์อยู่ในมหาสมุทร นิยมทำพิธีการลอยกระทงกันในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็น 2 ระยะ ซึ่งจะทำในกำหนดใดก็ได้
5. ตำนานลอยกระทงเพื่อบูชาพระอุปคุตต์
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้โปรดให้สร้างพระสถูปเจดีย์และพุทธวิหารขึ้นทั่วชมพูทวีป มหาวิหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ อโศการาม ซึ่งตั้งอยู่ในเขตแคว้นมคธ หลังจากที่สร้างพระสถูปเจดีย์ถึง 84,000 องค์สำเร็จแล้ว พระเจ้าอโศกทรงมีพระราชประสงค์จะนำพระบรมสารีริกธาตุของสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปบรรจุในในพระสถูปต่าง ๆ และบรรจุในพระมหาสถูปองค์ใหญ่ ประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาให้ปาฎลีบุตร และยังต้องการให้มีการเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่เป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน แต่ด้วยเกรงว่าพญามารจะมาทำลายพิธีฉลอง มีเพียงพระอุปคุตต์ที่ไปจำศีลอยู่ในสะดือทะเลเพียงท่านเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถปราบพญามารได้ เมื่อพระอุปคุตต์ปราบพญามารจนสำนึกตัวหันมายึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว พระอุปคุตต์จึงลงไปจำศีลอยู่ในสะดือทะเลตามเดิม จากนั้นจึงมีการลอยกระทงเพื่อบูชาพระอุปคุตต์ สำหรับพระอุปคุตต์ คนไทยจะเรียกได้อีกชื่อว่า พระบัวเข็ม
6. ตำนานลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี
ตำนานนี้เล่ากันว่า เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ ในเวลากลางดึกด้วยม้ากัณฐกะ พร้อมนายฉันทะ มหาดเล็กผู้ตามเสด็จ ครั้นรุ่งอรุณก็ถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที เจ้าชายทรงขับม้ากัณฐกะ กระโจนข้ามแม่น้ำไป เมื่อทรงทราบว่าพ้นเขตกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะจึงเสด็จลงประทับเหนือหาดทรายขาวสะอาด ตรัสให้นายฉันทะนำเครื่องประดับและม้ากัณฐกะกลับพระนคร และทรงตั้งพระทัยปรารภจะบรรพชา โดยเปล่งวาจา "สาธุ โข ปพฺพชฺชา" แล้ว จึงทรงจับพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ตัดพระเมาลี แล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ พระอินทร์ได้นำผอบทองมารองรับพระเมาลีไว้ และนำไปบรรจุยังพระจุฬามณีเจดีย์สถานในเทวโลก ทำให้การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี จึงถือเป็นการไหว้บูชาพระศรีอริยเมตไตรยด้วย
และนี่คือ 6 ตำนานความเชื่อลอยกระทงวันเพ็ญเดือนสิบสองที่ถูกเล่าสืบต่อกันมา
ตำนานลอยกระทง 6 ความเชื่อลอยกระทงวันเพ็ญเดือนสิบสอง ทั้งตำนานเรื่องกาเผือก การเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท การต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก การบูชาพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ การบูชาพระอุปคุตต์ และเพื่อบูชาพระจุฬามณี
อีกไม่กี่วันก็ใกล้จะถึงวันสำคัญอีกวันหนึ่งของคนไทย ซึ่งก็คือ วันลอยกระทง นั่นเอง สำหรับวันลอยกระทงนั้นเป็นวันที่คนไทยจะร่วมกันลอยกระทงเพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำในการดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ลงในแม่น้ำ วันลอยกระทงของทุกปีจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย สำหรับปีนี้ วันลอยกระทงจะตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน 2557
การลอยกระทงในเมืองไทยนั้น มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ในสมัยก่อนนั้นพิธีลอยกระทงจะเป็นการลอยโคม ต่อมานางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วงได้คิดค้นประดิษฐ์กระทงดอกบัวขึ้นเป็นคนแรกแทนการลอยโคม เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯ ทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง และให้จัดประเพณีลอยกระทงขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยให้ใช้กระทงดอกบัวแทนโคมลอย หลังจากนั้นจึงมีการสืบต่อประเพณีการลอยกระทงจนมาถึงปัจจุบัน
วันนี้ก็ขอหยิบยกนำเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องเล่าตำนานวันลอยกระทง มาฝากกันด้วยค่ะ ถ้าอยากรู้ว่าในแต่ละตำนานเล่าถึงวันลอยกระทงกันว่าอย่างไร ตามไปดูกันเลย
ภาพจาก GOLFX / Shutterstock.com
1. ตำนานลอยกระทงจากนิทานชาวบ้าน เรื่องกาเผือก
เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์มีกาเผือกสองตัวผัวเมียทำรังอยู่บนต้นไม้ในป่าหิมพานต์ใกล้ฝั่งแม่น้ำ วันหนึ่งกาตัวผู้ออกไปหากินแล้วหลงทางกลับรังไม่ได้ ปล่อยให้นางกาตัวเมียซึ่งกกไข่อยู่ 5 ฟอง รอด้วยความกระวนกระวายใจ จู่ ๆ มีพายุใหญ่พัดมาโดนรังกระจัดกระจายจนไข่ทั้ง 5 ฟองตกลงน้ำ ด้านแม่กาถูกลมพัดไปอีกทางหนึ่ง แต่เมื่อย้อนกลับมาไม่เห็นฟองไข่ จึงร้องไห้จนขาดใจตายไปเกิดเป็นท้าวพกาพรหมอยู่ในพรหมโลก ด้านฟองไข่ทั้ง 5 นั้น ลอยน้ำไปคนละทิศคนละทาง ต่อมาแม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โค และแม่ราชสีห์ ได้มาพบเข้า จึงนำไปรักษาไว้ตัวละ 1 ฟอง ครั้งถึงกำหนดฟักกลับกลายเป็นมนุษย์ทั้งหมด ไม่มีฟองไหนเกิดมาเป็นลูกกาเลย โดยกุมารทั้ง 5 มีนามว่า กกุสันโธ (วงศ์ไก่), โกนาคมโน (วงศ์นาค), กัสสโป (วงศ์เต่า), โคตโม (วงศ์โค) และเมตเตยโย (วงศ์ราชสีห์) ต่อมากุมารทั้ง 5 ต่างเห็นโทษภัยในการเป็นฆราวาสและเห็นอานิสงส์ในการบรรพชา จึงขอลาไปบวชเป็นฤาษีและทั้ง 5 คน ได้มีโอกาสพบปะกันและถามถึงนามวงศ์และมารดาของกันและกันจึงทราบว่าเป็นพี่น้องกัน
จากนั้นทั้งหมดได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าต่อไปจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขอให้ร้อนไปถึงมารดา และด้วยแรงอธิษฐานของทั้ง 5 ท้าวพกาพรหมจึงเสด็จมาจากเทวโลกจำแลงองค์เป็นกาเผือก แล้วเล่าเรื่องราวให้ฟังพร้อมบอกว่าถ้าคิดถึงมารดาเมื่อถึงเพ็ญเดือน 11 เดือน 12 ให้เอาด้ายดิบผูกไม้ตีนกาปักธูปเทียนบูชาลอยกระทงในแม่น้ำ เพื่อแสดงความคิดถึง ตั้งแต่นั้นมาจึงมีการลอยกระทงเพื่อบูชาท้าวพกาพรหมแล้วเพื่อบูชารอยพระบาท ซึ่งประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที ส่วนฤาษีทั้ง 5 ต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้
- ฤาษีองค์แรก กกุสันโธ (พระกกุสันโธ)
- ฤาษีองค์ที่สอง โกนาคมโน (พระโกนาคมน์)
- ฤาษีองค์ที่สาม กัสสโป (พระกัสสปะ)
- ฤาษีองค์ที่สี่ โคตโม (พระสมณโคดม)
- ฤาษีองค์ที่ห้า เมตเตยโย (พระศรีอาริยเมตไตรย)
ตามตำนานดังกล่าว ได้มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์แรก มาบังเกิดบนโลกมนุษย์แล้วในอดีตกาล พระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 คือ พระพุทธเจ้าที่จะมาบังเกิดบนโลกในอนาคต ได้แก่ พระศรีอาริยเมตไตรย
2. ตำนานลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท
รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ที่ไปปรากฏอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ คือ ครั้งหนึ่งพญานาคได้ทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ เมื่อพระองค์เตรียมเสด็จกลับ พญานาคจึงได้ทูลขออนุสาวรีย์ไว้สำหรับกราบไหว้บูชา พระพุทธองค์จึงทรงประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้ที่หาดทราย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที เพื่อให้บรรดานาคทั้งหลายได้ลอยกระทงเพื่อสักการบูชา
ภาพจาก 501room / Shutterstock.com
3. ตำนานลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก
เป็นตำนานที่เล่ากันว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ได้เสด็จออกบวชจนได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วได้เสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาธรรมโปรดพระพุทธมารดา จากนั้นพระองค์ได้เสด็จกลับลงสู่โลกมนุษย์ ในการเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ครั้งนี้ เหล่าทวยเทพและประชาชนทั้งหลาย ได้พร้อมใจกันทำการสักการบูชาด้วยทิพย์บุปผามาลัย การลอยกระทงตามตำนานนี้ จึงเป็นการรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากดาวดึงส์พิภพ
4. ตำนานลอยกระทงเพื่อบูชาพระนารายณ์บรรทมสินธุ์
พิธีการลอยกระทงตามคติพราหมณ์ ซึ่งกระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า คือ พระนารายณ์ที่บรรทมสินธุ์อยู่ในมหาสมุทร นิยมทำพิธีการลอยกระทงกันในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็น 2 ระยะ ซึ่งจะทำในกำหนดใดก็ได้
5. ตำนานลอยกระทงเพื่อบูชาพระอุปคุตต์
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้โปรดให้สร้างพระสถูปเจดีย์และพุทธวิหารขึ้นทั่วชมพูทวีป มหาวิหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ อโศการาม ซึ่งตั้งอยู่ในเขตแคว้นมคธ หลังจากที่สร้างพระสถูปเจดีย์ถึง 84,000 องค์สำเร็จแล้ว พระเจ้าอโศกทรงมีพระราชประสงค์จะนำพระบรมสารีริกธาตุของสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปบรรจุในในพระสถูปต่าง ๆ และบรรจุในพระมหาสถูปองค์ใหญ่ ประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาให้ปาฎลีบุตร และยังต้องการให้มีการเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่เป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน แต่ด้วยเกรงว่าพญามารจะมาทำลายพิธีฉลอง มีเพียงพระอุปคุตต์ที่ไปจำศีลอยู่ในสะดือทะเลเพียงท่านเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถปราบพญามารได้ เมื่อพระอุปคุตต์ปราบพญามารจนสำนึกตัวหันมายึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว พระอุปคุตต์จึงลงไปจำศีลอยู่ในสะดือทะเลตามเดิม จากนั้นจึงมีการลอยกระทงเพื่อบูชาพระอุปคุตต์ สำหรับพระอุปคุตต์ คนไทยจะเรียกได้อีกชื่อว่า พระบัวเข็ม
6. ตำนานลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี
ตำนานนี้เล่ากันว่า เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ ในเวลากลางดึกด้วยม้ากัณฐกะ พร้อมนายฉันทะ มหาดเล็กผู้ตามเสด็จ ครั้นรุ่งอรุณก็ถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที เจ้าชายทรงขับม้ากัณฐกะ กระโจนข้ามแม่น้ำไป เมื่อทรงทราบว่าพ้นเขตกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะจึงเสด็จลงประทับเหนือหาดทรายขาวสะอาด ตรัสให้นายฉันทะนำเครื่องประดับและม้ากัณฐกะกลับพระนคร และทรงตั้งพระทัยปรารภจะบรรพชา โดยเปล่งวาจา "สาธุ โข ปพฺพชฺชา" แล้ว จึงทรงจับพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ตัดพระเมาลี แล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ พระอินทร์ได้นำผอบทองมารองรับพระเมาลีไว้ และนำไปบรรจุยังพระจุฬามณีเจดีย์สถานในเทวโลก ทำให้การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี จึงถือเป็นการไหว้บูชาพระศรีอริยเมตไตรยด้วย
และนี่คือ 6 ตำนานความเชื่อลอยกระทงวันเพ็ญเดือนสิบสองที่ถูกเล่าสืบต่อกันมา